หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
มีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
หลักของการปฏิบัติที่จะให้เกิดสติปัญญาแท้ๆ เกิดมรรคเกิดผลได้ มีไม่มากหรอก จำหลักสั้นๆ ไว้
ให้เรามีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
หลวงพ่อไปรวบรวมหลักของการทำวิปัสสนากรรมฐาน ย่อลงมาเหลือเท่านี้เอง
ถ้าพูดให้ถูกๆ ก็มีสติรู้รูป รู้นาม ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
รูปธรรม นามธรรมนั่นเอง
เรียนรู้รูปธรรมนามธรรมที่ประกอบกันเป็นตัวเรา
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
จากซีดีแสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๗ ไฟล์ 531010A
ถอดความพระธรรมเทศนาหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ตัดทอนพระไตรปิฎกตามใจชอบไม่ได้

ว่างไม่ใช่ว่างเปล่า

การเตรียมตัวตาย

ซ้อมในรูปแบบแล้วออกมาอยู่ในชีวิตจริง

พิจารณาปฏิกูลอสุภะ

ทำถูกแล้วต้องทำให้มาก

รีบปฏิบัติเข้า

ครูบาอาจารย์สอนแล้วเรามีหน้าที่ทำ

การภาวนาในรูปแบบ
“การปฏิบัติธรรมมี ๓ อัน อันแรก เราต้องรักษาศีล ๕ ข้อไว้ อันที่สอง คือการทำในรูปแบบ อันที่สาม คือการทำในชีวิตประจำวัน ต้องทำ
ครูบาอาจารย์ท่านสอน หัวใจของการปฏิบัติ คือ การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะว่าชีวิตส่วนใหญ่ของเราอยู่ธรรมดานี่เอง เราไม่ได้นั่งเข้าฌานอยู่ที่ไหนเมื่อไร วันๆ หนึ่งจะทำสมาธิ เดินจงกรมได้สักเท่าไร โดยเฉพาะฆราวาส ทำได้ไม่มาก ชีวิตส่วนใหญ่เราอยู่กับโลกธรรมดานี่เอง
ถ้าเราสามารถหลอมรวมการปฏิบัติเข้าในชีวิตธรรมดาของเรานี้ได้ เราก็จะไปได้เร็วมาก ไม่แพ้พระ ในขั้นต้นๆ โสดาฯ สกาทาคาฯ ฆราวาสไม่แพ้พระหรอกในเรื่องของความเร็ว ถ้ารู้หลักของการปฏิบัติ แล้วตั้งใจปฏิบัติจริงๆ อาจจะเร็วกว่าพระด้วยซ้ำไป”
พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แผ่นที่ ๗๘ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ (ไฟล์ 611007A)
ช่วงถาม-ตอบ ตรวจการบ้าน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
เคยบวชจำพรรษา ไม่ได้ศึกษาหลักธรรม หลังจากสึกมาแล้ว ฟังธรรมะหลวงพ่อ จึงได้ทราบว่าตนเองติดอาบัติสังฆาทิเสส ออกมาถึงเป็นตาลยอดด้วน
เดินจงกรมเป็นหลัก พยายามดูร่างกายเดิน แต่เหมือนไม่ค่อยรู้เรื่อง มักสงสัยว่าทำถูก และเหมาะกับจริตหรือไม่
ในชีวิตประจำวัน ดูร่างกายเคลื่อนไหว เพ่งน้อยลง แต่จะไหลไปจมเบลอๆ นั่งสมาธิไม่ได้ เพราะจะเคลิ้ม ง่วง ขอหลวงพ่อช่วยสอนวิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยค่ะ
ชอบใช้พุทโธถี่ๆ มากกว่าดูลมหายใจ ยังฟุ้งซ่าน และหลงโลกอยู่มาก ยังเดินปัญญาไม่เป็น พยายามจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่บางทีก็ยังทำไม่ค่อยได้
ภาวนาช่วงนี้มักมีอุปสรรค จึงเปลี่ยนมาใช้การสวดบทมหาจักรพรรดิ์ ควบคู่กับบริกรรมพุทโธไว้ที่กลางอก เวลาที่จิตออกนอก พยายามกลับมารู้ลมหายใจ แต่ยังมีการบังคับจิตอยู่บ้าง
ดูแลพ่อที่ป่วยอยู่ ไม่อยากให้พ่อตาย จึงปฏิบัติทุกวันเพื่อให้ผลบุญส่งให้พ่ออยู่กับเรานานๆ
การเทียบเคียงของการปฏิบัติ ปัญญายังไม่พอ กลัวหลงในทางที่ละเอียด
ธุรกิจครอบครัวทรุดหนัก ทุกข์มาก กายก็มีวิบาก ระหว่างวันจิตรู้สภาวะได้เอง ใจเบามากขึ้น เห็นกายไม่ใช่เรา แต่จิตยังมีเราอยู่ ต้องพัฒนาอย่างไร
เจอการกระทบทางอารมณ์เวลาทำงาน เวลาทำงานแล้วกายล้ามากๆ จะควบคุมสติให้อยู่เหนือความล้าของกายได้อย่างไร
ที่ผ่านมามีทุกข์ทางความรักและโรคจิตเวช พยายามหาทางออกด้วยการปฏิบัติธรรม ฟังธรรม