ความจริงทางโลกกับความจริงทางธรรม

อย่าปฏิเสธสิ่งที่กำลังปรากฏ ทุกสิ่งที่ปรากฏให้เราต้องเผชิญตอนนี้ มันเป็นวิบากมันแก้ไขไม่ได้ แต่ในสถานการณ์ซึ่งอกุศลวิบากให้ผลมา เราทำกุศลให้เต็มที่แล้วก็จะผ่อนคลายอิทธิพลของกรรมเก่าที่ไม่ดี อย่างเราระวังรักษาตัวเองมีสติให้ดี มีปัญญาคอยรอบรู้กายรู้ใจตัวเอง อย่างร่างกายเราเคลื่อนไหวเราคอยรู้สึกๆ เรื่อยๆ เราก็ไม่เผลอเอามือมาป้ายหน้าเรา ไม่ขยี้ตา มีสติพอขยับ จะรู้สึกก็ไม่ทำ กรรมใหม่ที่ดีก็ช่วยเราไม่ให้ติดโรค กรรมเก่าส่งผลมาเราต้องมาอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค แต่เรามีกรรมใหม่ที่ดี เรามีสติร่างกายขยับเรารู้สึก เราก็ไม่เอามือมาป้ายหน้า

จิตใจเรามันเครียดมันกังวล คนส่วนใหญ่ก็เป็น แต่พวกเราภาวนาเรามีสติรู้ทันใจตัวเอง มีปัญญาเข้าใจความเป็นจริงว่ามันต้องเจอ ถึงจะเกลียดโควิดอย่างไร ยังมีเหตุมีปัจจัยอยู่มันก็ยังอยู่ หมดเหตุหมดปัจจัยเมื่อไรมันก็ไป เชิญมันๆ ก็ไม่อยู่ พอเราเข้าใจตรงนี้ ใจเราไม่กังวล แล้วเราเชื่อเรื่องกรรมเรื่องผลของกรรม ถ้ามีกรรมเก่าด้วย มีความประมาทในปัจจุบันด้วยก็ติดโรค รักษาไม่ได้ก็ตาย ใจมันยอมรับตรงนี้ได้ใจมันไม่กลัว มันไม่กังวล ฉะนั้นธรรมะจะช่วยเรา สติรู้ทันการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก็ช่วยป้องกันตัวได้มากแล้ว สติปัญญารู้เท่าทันจิตใจ คุ้มครองจิตใจไม่ให้เครียด ทุกวันนี้ถ้ายังมีบ้านอยู่ มีข้าวกินอยู่อะไรนี้ก็ควรจะพอใจแล้ว ยังมีชีวิตรอดอยู่ ยังสามารถหายใจได้อยู่ เมื่อยังมีชีวิตรอดอยู่ยังหายใจอยู่ ก็ยังมีกำลังที่จะปฏิบัติธรรมได้ แทนที่จะหายใจไปก็กังวลใจไป เราก็หายใจไปรู้สึกตัวไป เอาเวลาที่เราอยู่บ้านมาฝึกจิตฝึกใจให้ดี จะได้ไม่เสียโอกาส ถ้าเราขยันภาวนาอยู่บ้านเราไป ขยันภาวนา พอโควิดมันผ่านไป เราจะรู้เลยว่าชีวิตจิตใจของเราดีขึ้นเยอะเลย จากการที่เราอยู่บ้าน

 

สถานการณ์เลวร้ายทำให้เราเติบโต

เราฝึกจิตฝึกใจทุกวันๆ เราจะเติบโตขึ้น คนเราไม่ได้เติบโตด้วยอายุหรอก คนมีอายุมากๆ บางคนยังไม่โตเลย ยังเป็นเด็กไม่เลิก สิ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้นคือประสบการณ์ชีวิต อย่างเรามีประสบการณ์ผ่านภาวะโรคระบาดทั่วโลก 100 ปีมีครั้งหนึ่ง เราผ่านตัวนี้มาได้เราก็มีประสบการณ์แล้ว ต่อไปชีวิตเราจะลำบากมันก็ไม่ลำบากมาก มันไม่รู้สึกเพราะมันมีประสบการณ์แล้ว เคยต้องขังตัวเองอยู่ในบ้าน จะหาอยู่หากินลำบากฝืดเคือง ต้องใช้สติใช้ปัญญามากมายในการประคองตัวให้รอด กินข้าวมันต้องกินทุกวัน ค่าใช้จ่ายมันมี ถ้าเรารอดพ้นภาวะอันนี้ไปได้ ต่อไปปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตเรา เราก็ไม่กลัวมากหรอก เป็นเรื่องเล็ก เคยลำบากแล้วก็ไม่ต้องกลัวความลำบาก คล้ายๆ คนเคยติดคุก มันไม่ค่อยกลัวคุกหรอกเดี๋ยวมันก็ติดอีก ออกมาไม่กี่วันมันก็เข้าอีกไม่กลัวหรอก

อันนี้พูดในทาง Negative แต่ในทาง Positive ก็คือเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราเติบโตมากขึ้น สิ่งนี้ช่วยเราได้เยอะ ประสบการณ์ชีวิต อย่างคนเกิดมามีแต่ความสุขความสบาย เจอปัญหาชีวิตนิดเดียว แฟนไม่คุยด้วยวันนี้ เคยวิดีโอคอลกันทุกวัน วันนี้ไม่คุยด้วยอะไรอย่างนี้เสียใจมากฆ่าตัวตายเลย พวกเปราะบางไม่เคยมีประสบการณ์ของชีวิต พวกเคยมีประสบการณ์ชีวิต เคยล้มเหลวในชีวิต เคยผิดพลาดในชีวิต พวกนี้ก็จะเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตได้เยอะขึ้น จะดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท

ฉะนั้นสถานการณ์ที่เลวร้ายไม่ได้มีโทษอย่างเดียว ถ้าเรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาอยู่ มันให้คุณอันมหาศาลกับเรา มันให้ประสบการณ์ ทุกครั้งที่ชีวิตเราผ่านปัญหาร้ายแรงเราจะเติบโตขึ้น เราจะไม่ใช่เด็กเพ้อๆ ฝันๆ ทำกิจกรรมแบบเพ้อๆ ฝันๆ เลื่อนๆ ลอยๆ ไม่รู้ว่าจริงๆ สังคมเป็นอย่างไร โลกเป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่อง อันนั้นอ่อนประสบการณ์ ก็เป็นเหยื่อของพวกเจ้าเล่ห์แสนกล ชีวิตเราเราผ่านประสบการณ์มาเยอะๆ มีข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้น เราจะมีสติปัญญาพิจารณาเรื่องไหนควรเชื่อ เรื่องไหนเชื่อไม่ได้อะไรอย่างนี้ มันดูออก อย่างหลวงพ่อชำนิชำนาญเรื่องข่าว เพราะตั้งแต่เรียนจบหลวงพ่อไปทำงานอยู่ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) 3 ปี แล้วถัดจากนั้นมาอยู่สภาความมั่นคงอีก 10 กว่าปี เห็นข่าวดูไม่ยากหรอกว่าข่าวจริงหรือข่าวปลอม ฉะนั้นเราจะไม่ค่อยหวั่นไหว ใจมันเข้าใจ โลกก็อย่างนี้ หลอกกันไปหลอกกันมา เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เราก็ไม่ตกเป็นเหยื่อ ไม่กลุ้มใจ

ฉะนั้นเราพยายามฝึกตัวเอง แล้วพอเราผ่านวิกฤตมาได้แต่ละครั้งๆ เราจะเติบโตขึ้น ทุกครั้งที่เติบโตขึ้น เราจะมีภูมิต้านทานความทุกข์ในโลกได้มากขึ้น เราจะเข้าใจสัจธรรมได้มากขึ้น อย่างเรามีชีวิตสบาย ต่อมาพ่อแม่เราเกิดปุบปับตายไป กลายเป็นลูกกำพร้าอะไรอย่างนี้ เราก็ลำบากอยู่ช่วงหนึ่งเดี๋ยวเราก็ปรับตัวได้ มีประสบการณ์แล้ว ต้องช่วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ แต่งงานแต่งการมีครอบครัวอบอุ่น วันหนึ่งสามีไปบวชอะไรอย่างนี้ เราก็ว้าเหว่จิตใจมีความทุกข์ เราก็อยากมีที่พึ่งอยากได้ที่พึ่งอันโน้นอันนี้ อยากได้คนใหม่อะไรอย่างนี้ อันนั้นมันยังไม่โต ถ้าเราเติบโตเราก็จะรู้ว่า ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นเรื่องปกติของชีวิต เราสามารถดูแลตัวเองได้ไม่ต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับคนอื่น ถ้าเราทำได้เราก็เติบโตขึ้น เราไม่กลัวการอยู่คนเดียว เราจะไม่กลัวความเงียบเหงา เพราะเราไม่เคยเหงาเลย เรามีเพื่อนที่แสนดีและซื่อสัตย์ก็คือสติ สมาธิ ปัญญา เป็นเพื่อนที่แสนดีกับเราไม่ค่อยทอดทิ้งเรา ถ้าเราไม่ทอดทิ้งเขา

อย่างเพื่อนเราที่เป็นมนุษย์ หรือคนที่เรารักอะไรอย่างนี้ เราพึ่งพาอาศัยกันอยู่ เขาพร้อมจะทิ้งเราเมื่อไรก็ได้ บางทีก็ทิ้งตอนเป็นๆ ไปหาคนอื่น หรือว่าไปเรียนต่อต่างประเทศ เราถูกทิ้ง บางทีก็ทิ้งตายเขาตายไปเรายังอยู่ ถ้าจิตที่มันเคยฝึกมันอยู่ได้ด้วยตัวเอง มันไม่ต้องคร่ำครวญเศร้าโศกแสวงหาที่พึ่งภายนอก ถ้าเราทำแบบนั้นเราก็ต้องพึ่งคนอื่นตลอดชีวิต ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเองได้ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจโลกเข้าใจชีวิต มีประสบการณ์ชีวิตผ่านสิ่งเลวร้ายทั้งหลายมา เราเข้าใจมัน เราจะอยู่กับมันได้อย่างมีความทุกข์น้อยๆ ไม่ทุกข์มาก ทุกข์ก็ทุกข์ประเดี๋ยวประด๋าว เราต้องทำใจไว้เลยนะว่า ถ้าความสุขของเราอิงอาศัยคนอื่น อิงอาศัยสิ่งอื่นไม่มั่นคงหรอก เพราะคนอื่นแปรปรวนได้ ตัวเราเองก็แปรปรวนได้ สิ่งอื่นก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อย่างบางคนอย่างใหญ่อยากโต อยากมีตำแหน่ง อยากเป็นโน้น อยากเป็นนี้ เป็นก็เป็นชั่วคราว สุดท้ายก็ไม่ได้เป็น

 

ถ้าความสุขของเราอิงอาศัยคนอื่น อิงอาศัยสิ่งอื่น
ความสุขของเราไม่มั่นคงหรอก
เพราะคนอื่นแปรปรวนได้
ตัวเราเองก็แปรปรวนได้
สิ่งอื่นก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

 

ถ้าอยู่มาจนแก่ขนาดหลวงพ่อจะเห็นเลยว่า คนที่แย่งกันใหญ่แย่งกันโต สุดท้ายก็ตายหมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ถ้าเราฝึกสมาธิให้ดี มีหูมีตา เรานึกถึงคนใหญ่คนโตที่เขาล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้สึกเลยมันอึดอัด มันไม่มีความสุขหรอก แย่งกันแทบเป็นแทบตาย สิ่งที่ได้ก็คืออบายภูมิ ได้ประโยชน์อะไรนักหนา ฉะนั้นเราเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เราพออยู่พอกินดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนคนอื่น ชีวิตที่สะอาดหมดจดพึ่งตัวเองได้ พึ่งตัวเองได้ดีที่สุด อย่างในทางวัตถุ พระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนท่านสอนเรื่องพอเพียง ถ้าเรามีชีวิตพอเพียง ถึงวันนี้เราก็ยังไม่เดือดร้อน มันพอเลี้ยงตัวเองได้ หาอยู่หากินได้ ไม่จำเป็นต้องรวย มีโอกาสรวยก็รวย ถ้าไม่มีโอกาสก็ไม่ต้องรวยก็อยู่ได้ พอเพียงในทางกายภาพ ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติเราพอเพียงทางใจด้วย มันมีความสุข ชีวิตคนเราต้องการอะไรมากมาย เสื้อผ้าเรามี 2 – 3 ชุดก็พอใช้แล้ว พระมีชุดเดียวพระยังพอใช้เลย มีข้าวกินวันหนึ่งสัก 2 – 3 มื้ออะไรนี้ก็ดีแล้ว พระกินมื้อเดียวยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย ฉะนั้นถ้าจิตใจเรารู้จักคำว่าพอ เราไม่ลำบากแล้ว ลำบากก็ลำบากนิดๆ หน่อยๆ

เพราะฉะนั้นพยายามฝึกตัวเองให้ดี ธรรมะเป็นของมีคุณมีประโยชน์อย่างยิ่ง พวกคนรุ่นใหม่ๆ ห่างไกลธรรมะ เขาไม่รู้จักคุณค่า ช่วยไม่ได้ เราบอกแล้ว ประกาศแล้ว หมดหน้าที่ของเราแล้ว จะรับหรือไม่รับเรื่องของเขาแล้ว สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม คนรุ่นนี้ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน คนรุ่นก่อนอยู่ใกล้วัด ใกล้พระ ใกล้ศาสนา หลวงพ่อตอนเกิดมาหลวงพ่อเกิดเดือนธันวาคม มาถึงเดือนกรกฎาคมอีกปีหนึ่ง อายุยังไม่ถึงปีเลย หลวงพ่อเริ่มเข้าวัดแล้ว แม่แก่ที่เลี้ยงหลวงพ่อเป็นคนเลี้ยงหลวงพ่อ เขาไปฟังเทศน์ ถ้าวันพระก็ไปฟังวันนอกพรรษา จะมีเทศน์ทุกวันพระตามวัด ในพรรษาบางวัดเทศน์ทุกวัน เอาหลวงพ่อใส่เบาะเล็กๆ ไป เอาไปวางไว้ข้างธรรมาสน์ เราฟังเทศน์ไม่ร้องฟังตั้งแต่เล็กๆ เลย โตขึ้นมาเดินได้วิ่งได้พอพระเทศน์เราก็ไปวิ่งเล่น พอพระเล่านิทานชาดกเราก็วิ่งกลับมาฟัง ค่อยๆ ซึมซับ ทุกเช้าช่วยผู้ใหญ่เขายกขันข้าวไปหน้าบ้าน เอาโต๊ะไปตั้งใส่บาตร เห็นพระอย่างนี้คุ้นเคย เรียนโรงเรียนก็โรงเรียนในวัดเสียอีกตอนประถม คุ้นเคยอยู่กับวัด คุ้นเคยอยู่กับพระ

ตอนประถมปลายเรียนอยู่โรงเรียนวัดแห่งหนึ่งไม่บอกชื่อ อยู่แถวห้าแยกพลับพลาไชย ตอนกลางวันกินข้าวแล้วเข้าไปนั่งในโบสถ์ โบสถ์นั้นจะพังอยู่แล้วเก่ามากเลย เข้าไปนั่งสมาธิไปทำของเราเอง อายุนิดเดียว ใจมันคุ้นเคยอยู่กับพระ คุ้นเคยอยู่กับวัด เห็นพระประธานเก่าโทรมเลย เดินเข้าไปที่พระประธานเอามือไปแตะหัวเข่าท่าน ปูนกร่อนออกมาเลยเก่าขนาดนั้น เราก็รู้สึก โอ้ พระพุทธเจ้าพังแล้ว นึกว่าพระพุทธรูปคือพระพุทธเจ้า มองออกไปนอกโบสถ์เห็นพระเดินไปเดินมา ใจมันรู้สึกเลยไม่ใช่พระ นี่คือฆราวาสคือชาวบ้านที่มาบวช ไม่ใช่พระหรอก พระที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ใจมันรู้สึกลึกๆ พระที่แท้จริงไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาอย่างนี้หรอก พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระพุทธรูปก็พังไปแล้ว พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ใจมันรู้สึกว่าศาสนาพุทธคงจะหมดไปแล้ว

ถ้าศาสนาพุทธหมดไปเราไม่ย่อท้อ เราจะหาเอง ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์สอนให้ เราก็จะพยายามหาทางเอาเอง ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าที่หาทาง คือหาทางพ้นทุกข์ แต่ใจลึกๆ มันรู้สึกว่ามีสิ่งบางสิ่งที่เราต้องแสวงหาอยู่ พอโตขึ้นมาหน่อย ตอน 7 ขวบเริ่มไปเรียนกรรมฐานกับท่านพ่อลีแล้ว ตอนที่ไปอยู่โรงเรียนวัด 10 กว่าขวบนิดๆ ใจมันรู้สึกว่าต้องหาเอาเอง ฉะนั้นพยายามหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ทำทุกวันๆ ไม่เลิก ไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครควบคุมบังคับ แต่เราทำเพราะใจมันคุ้นเคยที่จะปฏิบัติ เด็กรุ่นนี้มันไม่คุ้น วัดก็ไม่เข้า ธรรมะก็ไม่ฟัง พ่อแม่ก็ไม่เชื่อ ครูบาอาจารย์ก็ลบหลู่อะไรอย่างนี้ ใจมันกระด้าง ใจที่หยาบกระด้างพัฒนาไม่ได้หรอก มันจะหลงโลกไปเรื่อยๆ โตขึ้นมันก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่เกเร ผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวต่อไป แต่โลกมันเป็นอย่างนี้ ห้ามมันไม่ได้หรอก ที่เล่าให้ฟังเพื่อจะให้รู้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยน คนที่รุ่นโตๆ ขึ้นมาเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมอีกอย่างหนึ่ง เกื้อกูลกับธรรมะ ทุกวันนี้เด็กรุ่นใหม่ๆ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกื้อกูลกับธรรมะ เกื้อกูลให้หลงโลก

 

ชาวพุทธเป็นคนส่วนน้อย

ดูธรรมะหลวงพ่อใน YouTube มีคนฟังระดับพันอย่างมากก็ระดับหมื่นอะไรอย่างนี้ คลิปบ้าๆ บอๆ คนดูวันเดียวเป็นแสน กระแสของโลก กระแสของกิเลสมันแรง แต่ว่าหน้าที่ของเราประกาศธรรมะออกไป คนมีบุญวาสนายังมีอยู่ คนส่วนน้อยซึ่งยังมีบุญมีวาสนาอยู่ยังมีได้ยินได้ฟังแล้วก็จะได้รับประโยชน์ อันนี้หลวงพ่อไม่ได้พูดเอง ครูบาอาจารย์ท่านสั่งหลวงพ่อมาอีกที ตอนหลวงพ่อภาวนา หลวงพ่อเริ่มภาวนาปี พ.ศ.2525 ปี สักพ.ศ. 2526 หลวงพ่อพุธท่านก็สั่งหลวงพ่อบอกว่า “ให้คุณไปเผยแพร่ธรรมะ คนที่จริตนิสัยอย่างคุณคือคนในเมือง ไม่ใช่คนชนบทอีกต่อไปแล้ว คนในเมืองทำมาหากินด้วยการใช้สมอง ใช้ความคิด ไม่ได้ใช้กำลัง เพราะคนแบบคุณต่อไปมันจะเยอะ ถ้าเขาได้ฟังประสบการณ์ที่คุณเล่าเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์กับคนอีกส่วนหนึ่ง” หลวงพ่อก็เลยทำงานเผยแพร่มาเรื่อยๆ ครูบาอาจารย์ท่านสั่ง

พวกเราชาวพุทธจริงๆ เป็นคนส่วนน้อยหรอก แล้วจริงๆ ไม่ใช่ส่วนน้อยในปัจจุบัน ชาวพุทธเป็นคนส่วนน้อยมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ตอนอุปติสสะไปลาอาจารย์สัญชัยปริพาชก จะไปบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า อาจารย์สัญชัยเขาบอกไปเถิด เราไม่ไปหรอก มาชวนอาจารย์ไปด้วย พระสารีบุตรคืออุปติสสะ ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อสารีบุตร อุปติสสะก็พยายามชวน ในที่สุดอาจารย์ก็บอกว่า “ให้เธอไปเถอะ คนฉลาดจำนวนน้อยจะไปหาพระสมณโคดม คนโง่จำนวนมากจะมาหาเรา” เห็นไหมคนฉลาดตั้งแต่ยุคพุทธกาลแล้วก็จำนวนน้อย คนที่โง่ คนที่งมงาย คนที่ไม่คิดพึ่งตัวเองมีมาก เป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย ทำไมเรารู้สึกในเมืองไทย หรือในเมืองพม่า เมืองลาว เมืองเขมรอะไรนี้ มีชาวพุทธเยอะ เปอร์เซ็นต์สูง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์อะไรอย่างนี้ แสดงว่าชาวพุทธมีเยอะ ไม่จริงหรอก

ศาสนาพุทธพอมาสู่ที่สุวรรณภูมิ ได้ปนเปื้อนเข้ากับลัทธินับถือผี ลัทธิบูชาบรรพบุรุษ ลัทธิบูชาธรรมชาติ ฉะนั้นพุทธที่ว่าเป็นพุทธส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นพุทธจริงๆ หรอก เป็นพุทธที่ปนเปื้อน มีพุทธที่ผิวๆ มีรูปแบบนิดหน่อย แต่เนื้อในไม่ใช่พุทธจริง อย่างพม่ามีพระมหาศาลเลย ผู้ชายพม่าหนึ่งในสามเป็นพระ ทั้งประเทศพระเต็มไปหมดเลย เราก็นึกว่าคนพม่าเป็นชาวพุทธเยอะกว่าคนไทย จริงๆ ไม่ใช่ คนพม่าจริงๆ เขาก็ยังนับถือผีอยู่ เขานับถือนัต นัตเป็นพวกผี เป็นผีเจ้าประจำท้องถิ่นอะไรอย่างนี้ มีหลาย 10 องค์ทั่วประเทศ ก็ยังนับถืออย่างนั้นอยู่ มีปัญหาอะไรก็ไปขอพรจากรูปของนัต ก็เหมือนที่เรากลุ้มใจ เราก็ไปขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อโสธร ไปบนพระแก้วอะไรอย่างนี้ ยังไม่ใช่ชาวพุทธหรอก พุทธะ แปลว่ารู้ ผู้รู้ รู้อะไร รู้ความจริง รู้สัจธรรม สิ่งภายนอก ถามว่าเทวดาอะไรพวกนี้มีไหม มี ช่วยเราได้ไหม ช่วยได้บางอย่างที่ไม่เกินกรรม แต่ถ้าเราต้องการพ้นทุกข์ไม่มีใครช่วยเราได้ เราต้องช่วยตัวเอง

ชาวพุทธไม่ได้ต้องการแค่อยู่กับโลก อยู่กับโลกแล้วไปขอให้เทวดาช่วยยังพอได้ แต่ขอให้เทวดาดลบันดาลให้เราบรรลุมรรคผลเร็วๆ ไม่มีใครทำได้ กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเคยบอก ท่านเป็นแค่ผู้บอกทางเท่านั้นเอง เราต้องเดินทางด้วยตัวของเราเอง เราก็แยกแยะให้ออก สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของเราเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นคือพระรัตนตรัย นอกนั้นอย่างเรานับถือเทวดาอะไรอย่างนี้ ก็เหมือนเรานับถือบรรพบุรุษ นับถือในฐานะเป็นบรรพบุรุษ เป็นผู้มีบุญคุณ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราเนรคุณ อย่างคนโบราณเขานับถือแม่โพสพ ถ้าคนสมัยใหม่ก็บอกไม่มีหรอกแม่โพสพ นักวิชาการเกษตรเป็นแม่โพสพตัวจริง แต่คนโบราณเขาสอนให้นับถือข้าว เขาสอนเรื่องความกตัญญู ให้รู้จักกตัญญู กตัญญูต่อสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นจะไม่ไปทำลายสิ่งแวดล้อม เดี๋ยวนี้ฉลาดเกินไปไม่ต้องสนใจ ทำลายสิ่งแวดล้อมให้เต็มที่เลย เพื่อจะบริโภคให้มาก

เพราะฉะนั้นความเชื่อของคนโบราณก็มีประโยชน์ มันไม่ใช่ไม่มี คนยุคนี้ไม่มีที่พึ่ง เอาผลประโยชน์เป็นที่พึ่งมันถึงวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ แล้วเป็นทั้งโลกเลย แต่หลวงพ่อบอกตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่า เราไปแก้ที่ข้างนอกไม่ได้หรอก เราต้องอยู่กับมันให้ได้ อยู่กับมันอย่างเท่าเทียมมัน โลกต้องเป็นอย่างนี้ล่ะ เพราะว่ายิ่งคนรุ่นต่อไปจะต้องหนักกว่านี้อีก เพราะถูกกล่อมเกลามาในสิ่งแวดล้อมที่เลวลง ห่างไกลธรรมะมากขึ้น รุนแรงมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น แต่ถ้าเรายังไม่ตายเราต้องอยู่กับมันให้ได้ อยู่อย่างเข้าใจความจริงอย่าไปโกรธมันเลย อย่างเด็กมาอาละวาดก่อเรื่องที่โน่นที่นี่ ทำให้เราเดินทางยากอะไรอย่างนี้ เกะกะขวางถนน อย่าไปโกรธมันเลย มันลำบากตั้งแต่ปัจจุบัน อนาคตมันก็ลำบาก น่าสงสาร

 

อยากเข้าใจโลก ให้เรียนที่ตัวเอง

ฉะนั้นเราชาวพุทธ เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งแวดล้อม แต่เราอยู่กับสิ่งแวดล้อมอันนั้นอย่างรู้เท่าทันมัน วิธีที่เราจะรู้เท่าทันโลกได้อย่างแจ่มแจ้ง เรียนเข้ามาที่ตัวเอง ฟังแล้วแปลกอยากรู้จักโลก แต่ให้เรียนที่ตัวเอง เพราะคนทั้งหลายเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แล้วก็มองโลกอยากให้โลกเป็นไปตามใจเรา อยากให้ทั้งจักรวาลเป็นไปตามใจเรา มันไม่ได้เป็นอย่างอยาก ใจมันก็เกิด Conflict ขึ้นมา มีปฏิปักษ์เป็นปฏิปักษ์กับโลกกับสิ่งที่แวดล้อมอยู่ ถ้าเราย้อนกลับ โอปนยิโก ย้อนกลับเข้ามาเรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้กาย เรียนรู้ใจ เราก็จะเห็นเลยร่างกายเราก็ไม่คงทน ไม่นานก็แตกสลายไป อย่างคนอยากมีแฟน อยากมีคู่อะไรนี้ ถ้าเรารู้ว่าอีกไม่นานก็ต้องพลัดพราก เขาอาจจะตายหรือเราอาจจะตายอะไรอย่างนี้ ไม่รู้จะไปหามาทำไมไปหาศพมาเข้าบ้าน ให้มีภาระที่จะต้องเผาให้มากขึ้น ถ้าภาวนาจะรู้เลยว่าการที่จะไปหาผัวหาเมียมา คือหาศพมามากขึ้น ที่จะต้องเป็นภาระ ก่อนจะตายก็ต้องเป็นภาระดูแลกัน ตายไปแล้วเป็นภาระต้องเอาไปเผาอะไรอย่างนี้

แล้วถ้าเราดูจิตดูใจเรา เราก็จะเห็นเลยทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในใจเรา ของชั่วคราวทั้งหมดเลย ที่เราเหน็ดเหนื่อยแทบเป็นแทบตายแต่ละวัน เพราะเราอยากได้ความสุข อยากรวยก็เพราะอยากมีความสุข อยากดังก็เพราะอยากมีความสุข อยากมีอำนาจก็เพราะอยากมีความสุข อยากอายุยืนก็เพราะอยากเสพสุขนานๆ อะไรอย่างนี้ ถ้ามีสติ มีปัญญาขึ้นมา รู้ว่าไม่ใช่หรอก ความสุขผ่านเข้ามาประเดี๋ยวประด๋าวก็หายไปแล้ว ความสุขในโลกเจือด้วยความทุกข์เสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไร ความสุขของโลกจะเจือความทุกข์เข้ามาด้วยเสมอเลย ถ้าเราภาวนาเราจะเห็นเลย อย่างเราจะจีบสาวสักคน เราก็กังวลว่าจะจีบได้ไม่ได้ บางคนคิดชั่วร้าย ไม่ได้คิดดีอะไร จะหลอก เขาเรียกว่าอะไรนะ หลอกฟัน หลอกๆ แค่นั้นแล้วพอใจแล้ว แล้วก็นับแต้ม ผู้หญิงก็เป็นยุคนี้ นับแต้มว่าล่าผู้ชายได้กี่คนแล้วอะไรอย่างนี้ ชีวิตไม่ได้ต่างกับหมาเลย ลืมความเป็นมนุษย์ไป

ถ้าเราภาวนาเราก็จะเห็นเลยว่าสิ่งที่เราอยากได้ กว่าจะได้มาก็เหน็ดเหนื่อย แล้วก็รักษาไว้ไม่ได้ สิ่งที่เราคิดว่าจะให้ความสุขเรามันเจือความทุกข์มาเสมอ อย่างเรารู้สึกว่าเราขึ้นรถสาธารณะไม่สบาย น่าเบื่อ อึดอัด ต้องรอ เราไปซื้อรถยนต์มา เก็บสตางค์ไปซื้อหรือไปผ่อน มีเงินผ่อนไปซื้อมา เอามาก็มีภาระเพิ่ม ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มแล้ว เดินทางสะดวกไหม ก็ไม่เห็นมันจะสะดวกอะไร รถติดจะตายไป ขึ้นรถไฟฟ้ายังเร็วกว่าเลย ได้มาก็มีภาระจะไปจอดที่ไหน ขโมยจะมางัดล้อไปไหม ฝาครอบล้อ ขโมยกระทั่งจุกลม มันขโมยได้หมด ภาระทั้งนั้นเลย ความสุขในโลกนี้มันพ่วงภาระมาหมด เราซื้อบ้านมาก็มีภาระแล้วต้องดูแล ต้องรักษา ต้องซ่อมบำรุง จะไปไหนก็เป็นห่วงกลัวผู้ร้ายมางัดอะไรอย่างนี้ ภาระทั้งนั้นเลย

ฉะนั้นสิ่งที่เราแสวงหามา จะเป็นวัตถุ หรือจะเป็นบุคคล หรือจะเป็นสัตว์ ให้ความสุขกับเรา ให้ความพอใจกับเรา แต่มันก็ให้ภาระมาด้วย ภาระก็คือตัวทุกข์นั่นล่ะ พระพุทธเจ้าถึงสอน “มีนาก็ทุกข์เพราะนา มีวัวก็ทุกข์เพราะวัว” ของเราตอนนี้ไม่มีนา เรามีบ้าน มีรถ มีโทรทัศน์ ตู้เย็นอะไรอย่างนี้ มีสารพัด สุดท้ายที่ดิ้นรนแสวงหามาแทบตาย สุดท้ายว่างเปล่า เวลาเราไปรดน้ำศพ รู้สึกไหมนอนแอ้งแม้งอยู่ แบมืออยู่ให้เรารดน้ำ ทำไมมันต้องมาแบมือให้เรารด มันคือธรรมะที่สอนเราว่า ไม่สามารถเอาอะไรติดมือไปได้เลย ถ้าเราเข้าใจโลก เราก็จะไม่ตะเกียกตะกายหาภาระ หาความทุกข์มาใส่ตัวเองหรอก เราอยู่กับโลกอย่างโปร่งเบา พออยู่พอกินทั้งกายทั้งใจ

 

“ถ้าเราเข้าใจโลก เราก็จะไม่ตะเกียกตะกายหาภาระ
หาความทุกข์มาใส่ตัวเองหรอก
เราอยู่กับโลกอย่างโปร่งเบา พออยู่พอกินทั้งกายทั้งใจ”

 

ถ้าทางกายพอเพียงก็คือ มีข้าวกิน มีบ้านอยู่ มีอาชีพการงานที่เลี้ยงตัวได้ ไม่เป็นภาระกับคนอื่น ไม่เป็นภาระสังคม อันนี้น่าพอใจแล้ว คนเรารวยแค่ไหนมันก็กินข้าวได้วันหนึ่งแค่นี้ มันจะรวยแค่ไหนมันก็ใช้เสื้อผ้าได้ทีละชุด แล้วเวลามันตายมันก็มีโลงอยู่ใบเดียว แล้วโลงใบเดียวของมันก็ถูกเอาไปเผาอีก แล้วมันเหลืออะไร มันมามือเปล่าๆ มันก็ไปมือเปล่าๆ สิ่งที่ติดตัวไปคือกรรมของเรา บุญบาปของเรานั่นเอง เพราะฉะนั้นจิตสำคัญ พยายามอบรมฝึกฝนมันให้มันเติบโต โลกก็สอนธรรมะเราสอนให้เราเห็น โลกนี้ไม่สมบูรณ์หรอกมีทุกข์ตลอดเวลา เราต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รักที่ไม่พอใจ ร่างกายเราเองก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย จิตใจเราเองเที่ยวหาความสุขมา ความสุขก็ไม่ยั่งยืน เกลียดความทุกข์ไล่มันก็ไม่ได้

พอเราเข้าใจ เรียกว่าเราเข้าใจความจริง การเข้าใจความจริงก็คือเข้าใจธรรมะ ธรรมะก็คือตัวสัจธรรมตัวความจริงนั่นล่ะ ความจริงในทางโลกกับความจริงในทางธรรม ก็เป็นความจริงเรียกโลกิยธรรมกับโลกุตตรธรรม ถ้าเราเข้าใจความจริงของโลก เราก็อยู่กับโลกอย่างมีความสุข ถ้าเราเข้าใจความจริงในโลกุตตระ เรามีความสุขที่ไม่อิงอาศัยคนอื่น ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่น ความสุขตัวนี้ยั่งยืน ในขณะที่ความสุขในโลกนั้นไม่ยั่งยืน ฉะนั้นเราทิ้งของซึ่งไม่สำคัญ แค่อาศัยอยู่ พออยู่พอกิน พอเลี้ยงชีวิต ไม่มีภาระกับสังคมกับอะไรอย่างนี้ แค่นี้พอใจอยู่ได้แล้ว แต่ถ้ามีโอกาสรวยได้ก็ไม่เป็นไร พอเรารวยแล้วเราก็จะได้ช่วยเหลือเจือจานคนอื่นได้เยอะขึ้น นี่คืออุดมคติของชาวพุทธเรา

อย่างคนรวยๆ แต่ก่อนไม่ได้เอาไปเสพอะไรมาก เอาไปสร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์อะไรให้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวทุกวันนี้ เหลือก็ไปสงเคราะห์คนอย่างอนาถบิณฑิกะ หุงข้าวแจกคนยากคนจนตลอดชีวิตเลยถึงชื่ออนาถบิณฑิกะ ผู้มีก้อนข้าวให้คนอนาถา อนาถบิณฑิกะไม่ใช่ชื่อแก แกชื่อสุทัตตะ แต่เป็นฉายาแก เป็นผู้มีก้อนข้าวให้กับคนอนาถา รวยได้ไหม รวยได้ แต่ไม่ใช่รวยแล้วโลภไม่รู้จักสิ้นสุด เขารวยเพื่อจะได้มีโอกาสเจือจาน ช่วยเหลือคนที่ยากลำบากกว่า ในทางจิตใจก็พัฒนาของตัวเองไป ฉะนั้นในทางโลกรู้จักพอ ส่วนที่เกินพอก็เจือจานคนอื่น ในทางธรรมภาวนาจนมันพอ มันพอจริงๆ นะ ภาวนาถึงจุดหนึ่งมันพอ ตอนนี้ยังไม่พอก็ภาวนาต่อ.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
28 สิงหาคม 2564